ศูนย์รวมเคล็ดลับความสวย....*_*

Blogger..นี้สร้างขึ้นเพื่อให้ผู้ที่ต้องการข้อมูลต่างๆทั้งเเบบวิชาการเเละเรื่องความสวยงามได้มาสืบค้นเพื่อนำไปใช้ตามความต้องการต่างๆของตนเองได้ จากมหาวิทยาลัยมหาสารคาม



I'am Nam.Phiromya

วันอังคารที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2554

น้ำผลไม้ไม่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายจริงหรือไม่

ทั้งๆที่บางครั้งสินค้าตัวนั้น ก็แทบจะไม่ให้ประโยชน์ต่อสุขภาพเลย

คุณหมอวรรณี บอกว่า ถ้านำน้ำหวานกับน้ำผลไม้มาเปรียบเทียบกัน น้ำผลไม้ก็ยังมีประโยชน์ มากกว่าน้ำหวาน เพราะยังมีสารอาหารที่ให้ประโยชน์ ต่อร่างกายอยู่บ้าง

“แต่น้ำผลไม้ที่ให้ประโยชน์ต่อร่างกายนั้น จะต้องเป็นน้ำผลไม้คั้นสด ย้ำว่าคั้นสดๆ และต้องไม่ผ่านกระบวนการผลิตทางอุตสาหกรรมอาหาร เพราะถ้าผ่านกระบวนการผลิตแล้ว สารอาหารทั้งหมดของน้ำผลไม้ก็จะหายไปทันที แต่ถึงอย่างไรก็ตาม หากนำน้ำผลไม้ ทุกรูปแบบ มาเปรียบเทียบกับผลไม้สดทั้งผลแล้ว น้ำผลไม้ก็แทบจะไม่ให้ประโยชน์ อะไรต่อร่างกาย”
เขียนโดย poompeungsri ที่ 10:38 ไม่มีความคิดเห็น:
ส่งอีเมลข้อมูลนี้BlogThis!แชร์ไปยัง Xแชร์ไปที่ Facebookแชร์ใน Pinterest
10 เคล็ดลับ การกินอาหารเพื่อสุขภาพ
1.กินอาหารเช้า
เป็นพฤติกรรมพื้นฐานที่ส่งผลต่อสภาพจิตใจ และพลังชีวิตของคุณไปตลอดทั้งวัน การกินอาหารเช้า ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเส้นเลือด ลดอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ ช่วยให้การเผาผลาญพลังงานดีขึ้น ทำให้คุณกินอาหารในมื้ออื่นๆ น้อยลง

2. เปลี่ยนน้ำมันที่ใช้ปรุงอาหาร
ยอมจ่ายแพงสักนิดใช้น้ำมันมะกอก หรือน้ำมันดอกทานตะวัน ปรุงอาหารแทนน้ำมันแบบเดิม ที่คุณเคยใช้ดีกว่า เพราะไม่มีไขมันที่เป็นโทษต่อร่างกาย และมีกรดไขมันอิ่มตัวที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย ช่วยลดไขมันในเส้นเลือดได้เป็นอย่างดี

3. ดื่มน้ำให้มากขึ้น
คนเราควรดื่มน้ำวันละสองลิตรเป็นอย่างน้อย เพื่อหล่อเลี้ยงเซลล์ในร่างกาย ฟื้นฟูระบบขับถ่าย รักษาระดับความเข้มข้นของเลือด จะทำให้คุณสดชื่นตลอดวันเลยทีเดียว

4. เสริมสร้างแคลเซียมให้กับกระดูก
ด้วยการดื่มนม กินปลาตัวเล็กทั้งตัวทั้งก้าง เต้าหู้ ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง ผักใบเขียว เพราะแคลเซียมเป็นสิ่งจำเป็น ที่จะเสริมสร้างความแข็งแรง ให้กับกล้ามเนื้อและกระดูก ทำให้ระบบประสาททำงานได้เต็มประสิทธิภาพ

5. บอกลาขนม ของจุกจิก
ตัดของโปรดประเภทโดนัท คุกกี้ เค้กหน้าครีมหนานุ่ม ออกจากชีวิตบ้าง แล้วหันมากินผลไม้เป็นของว่างแทนวิตามิน และกากใยในผลไม้ มีประโยชน์กว่าไขมัน และน้ำตาลจากขนมหวานเป็นไหนๆ

6. สร้างความคุ้นเคย กับการกินธัญพืชและข้าวกล้อง
เมล็ดทานตะวัน ข้าวฟ่างและลูกเดือย รวมทั้งข้าวกล้องที่เคยคิดว่าเป็นอาหารนก ได้มีการศึกษาและค้นคว้าแล้ว พบว่า ช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ ถึงหนึ่งในสามเลยทีเดียว เพราะอุดมไปด้วยไฟเบอร์ ที่ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล และควบคุมน้ำตาลในเลือดให้สมดุล

7. ได้เวลาน้ำชาแล้ว
ทั้งชาดำ ชาเขียว ชาอู่ล่ง หรือเอิร์ลเกรย์ ล้วนแล้วแต่มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ การดื่มชาวันละ 1 ถึง 3 แก้ว ช่วยลดอัตราเสี่ยงมะเร็งกระเพาะอาหารถึง 30%

8. กินให้ครบทุกสิ่งที่ธรรมชาติมี
หมายความว่า คุณต้องพยายามรับประทานผักผลไม้ต่างๆ ให้หลากสี เป็นต้นว่าสีแดงมะเขือเทศ สีม่วงองุ่น สีเขียว บร็อคคอลลี สีส้มแครอท อย่ายึดติดอยู่กับ การกินอะไรเพียงอย่างเดียว เพราะพืชต่างสีกัน มีสารอาหารต่างชนิดกัน แถมยังเป็นการเพิ่มสีสันการกินให้กับคุณด้วยแหล่ะ

9. เปลี่ยนตัวเองให้เป็นคนรักปลา
การกินปลาอย่างน้อยอาทิตย์ละครั้ง ได้ทั้งความฉลาดและแข็งแรง เพราะปลามีกรดไขมันโอเมก้า 3 และโปรตีน ที่ช่วยควบคุมการเต้นของหัวใจให้เป็นปกติ และบำรุงเซลล์สมอง ทั้งยังมีไขมันน้อย อร่อยย่อยง่าย เหมาะสำหรับ คนที่ต้องการหุ่นเพรียวลมเป็นที่สุด

10. กินถั่วให้เป็นนิสัย
ทำให้ถั่วเป็นส่วนหนึ่งของอาหารที่คุณต้องกินทุกวัน วันละสักสองช้อน ไม่ว่าจะเป็นของหวานของคาว หรือว่าของว่างก็ทั้งโปรตีนวิตามิน และแร่ธาตุสำคัญๆ หลายชนิด ต่างพากันไปชุมนุมอยู่ในถั่วเหล่านี้ ควรกินถั่วอย่างสม่ำเสมอ แต่ไม่ควรกินครั้งละมากๆ เพราะมีแคลอรี่สูง อาจทำให้อ้วนได้  
 
เขียนโดย poompeungsri ที่ 10:31 ไม่มีความคิดเห็น:
ส่งอีเมลข้อมูลนี้BlogThis!แชร์ไปยัง Xแชร์ไปที่ Facebookแชร์ใน Pinterest

สุขภาพดี12 วิธีสร้างสุขเล็ก ๆ เพื่อสุขภาพ




12 วิธีสร้างสุขเล็ก ๆ เพื่อสุขภาพ (Health Plus)

          แผนปฏิบัติเพื่อสุขภาพดีไม่ต้องยิ่งใหญ่อลังการ หรือยุ่งยากเสียจนคุณไม่มีเวลาหาความสุขให้ตัวเอง เพราะแค่เวลาเพียงเล็กน้อย ก็ทำให้คุณมีสุขภาพที่ดีได้

          การจะมีสุขภาพดีได้นั้น ไม่ได้หมายความว่าคุณต้องหันหลังให้กับสิ่งที่คุณชอบ เพราะอันที่จริงแล้วการใช้ชีวิตให้สนุก เป็นแรงบวกที่ทำให้สุขภาพดีทั้งกายและใจ การให้ความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ กับตัวเองสักวันละหนึ่งอย่างทุก ๆ วัน จะสร้างความพึงพอใจ คลายเครียด และช่วงเวลาแห่งความสุขนี้เองที่ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านการโรค จิตใจเบิกบาน ความเครียดหายไป และอื่นๆ  เอาล่ะ...ถึงเวลาตามใจตัวเองกันแล้ว

1.เอร็ดอร่อยกับแกงกะหรี่อินเดีย

          สุขกับค่ำคืนพร้อมอาหารอร่อย แนะให้เลือกแกงกะหรี่ที่อัดแน่นด้วยเครื่องเทศ ซึ่งมีประโยชน์ต่อร่างกาย ซึ่งดีต่อสุขภาพร้อยเปอร์เซ็นต์ เริ่มตั้งแต่ขิง ช่วยรักษาอาการไขข้ออักเสบ กระเทียมช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทาน ลูกซัค (fenugreek) ช่วยการทำงานของระบบย่อยอาหาร พริกช่วยให้อารมณ์ดี และอบเชยช่วยทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสมดุล ซึ่งคุณประโยชน์ทั้งหมดนี้พบได้ในอาหารอินเดียจานเด็ดนี้

2.นวดหน้า

          ไม่ว่าจะไปนวดหน้าที่ร้านเสริมสวย หรือลงมือนวดเองที่บ้าน การนวดหน้าเป็นวิธีช่วยผ่อนคลายที่ดี ทำให้ผิวเปล่งปลั่งมีสุขภาพดี "เมื่อคุณมีความสุข หน้าตาก็จะดูอิ่มเอิบ" บาร์ติ วาส กูรูความงามกล่าว การทาครีมและนวดหน้าเป็นประจำทุกวัน จะช่วยกระตุ้นให้เลือดไหลเวียนดี และช่วยฟื้นฟูผิวให้กลับมาสดชื่นเปล่งปลั่ง

นวดหน้า

3.เติมความวาบหวาม ดินเนอร์ใต้แสงเทียนกับไวน์สักแก้ว

          จะช่วยให้คุณอยู่ภายใต้อารมณ์แห่งรัก และถ้าเป็นไปได้ ให้ทำมากกว่านั้น "เมื่อถึงจุดสุดยอด เอนโดร์ฟินในสมองจะถูกหลั่งออกมา ซึ่งก็คือฮอร์โมนแห่งความสุข ที่ช่วยให้ร่างกายรู้สึกผ่อนคลายและความเครียดหายไป" จูเลีย โคลที่ปรึกษาด้านความสัมพันธ์และผู้เชี่ยวชาญของ Health Plus กล่าว

4.แช่ตัวในอ่างอาบน้ำ

          การแช่ตัวในน้ำอุ่น ช่วยผ่อนคลายความเครียดและบรรเทาอาการปวดเมื่อยอย่างได้ผล หรือจะเปลี่ยนจากการอาบน้ำธรรมดามาเป็นสปาเพื่อสุขภาพ ก็ไม่ยุ่งยากแต่อย่างใด เป็นการทำดีท็อกซ์โดยเติมเกลือ Epsom salts หนึ่งกำมือพูน ๆ ลงในอ่างอาบน้ำ ตามด้วยชาคาโมไมล์ 2 ถุง เพื่อไม่ให้ผิวแห้ง หรือจะเติมน้ำมันหอมระเหยกลิ่นลาเวนเดอร์ลงไปด้วยก็ได้ ก็จะช่วยให้หลับสบาย

5.กินช็อกโกแลต

          ช็อกโกแลต เครื่องดื่มเพิ่มพลังงานที่ใช้ดื่มในงานพิธีของพวกแอซเทค (Aztecs) ช็อกโกแลตเป็นอาหารเช้าเพิ่มคุณค่าทางอาหารสำหรับชนชั้นสูงชาวอังกฤษ ในช่วงศตวรรษที่ 17 รสชาติของช็อกโกแลตสร้างความรู้สึกรื่นรมย์ มากเสียจนแม้แต่กลิ่นของมัน สามารถกระตุ้นให้ร่างกายสามารถสร้างเซลล์เม็ดเลือดขาวได้ภายใน 2 ชั่วโมงหลังจากนั้น ดังนั้นอย่ารู้สึกผิดที่นาน ๆ ทีกินช็อกโกแลต และถ้าไม่กลัวอ้วน เลสลี เคนตัน ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพและความงามแนะว่า "ให้เลือกทานช็อกโกแลตคุณภาพดี รสชาติเข้มข้น ทานแค่หนึ่งหรือสองอัน โดยไม่ต้องทานหมดทั้งกล่อง"



6.เที่ยวแบบไปเช้าเย็นกลับ

          คุณไปเที่ยวครั้งสุดท้ายเมื่อไร เตรียมข้าวของออกไปปิกนิกที่สวนสาธารณะกันดีกว่า หรือจะไปเที่ยวชานเมืองหรือเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ เลือกสถานที่ที่คุณชอบ การได้ละทิ้งภารกิจที่ต้องทำเป็นประจำชั่วคราว จะทำให้คุณรู้สึกสดชื่น "สามีและฉันเที่ยวแบบไปเช้าเย็นกลับ" เพนนี อีแวนส์ วัย 51 ปีกล่าว "บางครั้งเจอฝนตก เราสองคนก็จะวิ่งไปหลบฝนกันในร้านกาแฟ สั่งชาร้อนมาดื่ม แต่ก็ยังหัวเราะกันได้สนุก"

7.พบปะเพื่อนฝูง

          มีการศึกษาวิจัยมากมายระบุว่า คนที่ชอบออกนอกบ้านไปพบปะสังสรรค์เพื่อนฝูง จะมีโอกาสน้อยที่จะเป็นหวัด มีอาการซึมเศร้า หรือขี้หลงขี้ลืมในยามชรา นี่อาจใช้เป็นข้ออ้างที่ดีในการออกไปเที่ยวกลางคืน หรือไปดื่มกาแฟกับเพื่อนฝูง


8.นวดตัว

          การนวดช่วยให้ความดันโลหิตลดลง ทั้งยังคลายอาการปวดตึงกล้ามเนื้อ การนวดทำให้รู้สึกสบายผ่อนคลาย หลังคร่ำเคร่งกับภารกิจที่หนักอึ้งมาตลอดทั้งวัน ให้แฟนของคุณช่วยนวดคอและไหล่ด้วย น้ำมันหอมระเหย หรือจะใช้เครื่องนวดขนาดพกพานวดเท้าและมือ หรือจะไปนวดทั่วตัวที่สปาหรือร้านเสริมสวย

9.งีบหลับตอนบ่าย

          "อย่านึกละอายใจที่จะแอบงีบหลับในตอนบ่าย" นีล สแตลีย์ ผู้อำนวยการห้องปฏิบัติการนอนหลับของมหาวิทยาลัยเซอร์เรย์กล่าว "คุณจำเป็นต้องนอนพักผ่อนหากรู้สึกอ่อนเพลีย และหากธรรมชาติของร่างกายต้องการการงีบหลับสั้น ๆ ในตอนบ่าย ก็ควรหาเวลานอนซะ"

10.พรมน้ำหอม

          กลิ่นหอมช่วยสร้างความทรงจำที่น่าประทับใจ การฉีดพรมน้ำหอมกลิ่นที่คุณชื่นชอบจะทำให้คุณมีความสุขตลอดวัน ประสาทรับกลิ่นมีพลังมากพอ ที่จะสามารถเรียกความทรงจำเก่าก่อนให้กลับคืนมา ได้มากกว่าประสาทสัมผัสอื่น ๆ ดังนั้นอย่าลืมพรมน้ำหอมในโอกาสแห่งความสุขของคุณ
น้ำหอม

11.ยกเท้าขึ้น

          เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว จำเป็นต้องพักผ่อนเสียบ้าง ให้นอนราบบนโซฟา ยกเท้าให้สูงขึ้นโดยวางบนม้านั่งเล็ก ๆ เพื่อคลายความเมื่อล้าของเท้า การวางเท้าให้สูงไม่เพียงช่วยให้เลือดไหลเวียนดี เท่านั้น แต่ยังช่วยป้องกันการเป็นโรคเส้นเลือดขอดและลดอาการบวมของข้อเท้า

12.ส่งของขวัญให้ตัวเอง

          ง่าย ๆ ค่ะ มอบความสุขทั้งกายและใจด้วยการสมัครเป็นสมาชิกนิตยสารดี ๆ สักเล่ม แล้วคุณจะได้รับสาระดี ๆ ส่งตรงให้ตัวเองทุก ๆ เดือนเลยทีเดียว
ปาร์ตี้



ทีมา: 
เขียนโดย poompeungsri ที่ 10:27 ไม่มีความคิดเห็น:
ส่งอีเมลข้อมูลนี้BlogThis!แชร์ไปยัง Xแชร์ไปที่ Facebookแชร์ใน Pinterest
เขียนโดย poompeungsri ที่ 10:20 ไม่มีความคิดเห็น:
ส่งอีเมลข้อมูลนี้BlogThis!แชร์ไปยัง Xแชร์ไปที่ Facebookแชร์ใน Pinterest

สับปะรดเพื่อผิวสวย


 เรื่องข้อศอกดำ หัวเข่าด้านนั้น เป็นปัญหาที่ทำให้สาว ๆ ใส่สายเดี่ยว กระโปรงสั้นไม่ได้ ถึงแม้ว่า จะหน้าตาดีแค่ไหน แต่ก็คงไม่มั่นใจที่จะใส่แล้วทำให้เห็นรอยดำ และรอย ด้าน นั้น วันนี้มีเคล็ดลับที่จะทำให้คุณไม่ต้องกังวลกับปัญหานี้อีกต่อไปแล้วครับ
สิ่งที่นำมาแนะนำวันนี้คือ เอนไซม์จากสับปะรดค่ะ ซึ่งสับปะรดก็เป็นผลไม้ที่หาง่าย มีทุกฤดูกาล เรามาดูขั้นตอนการทำกันดีกว่านะครับ
1.นำเอาสับปะรด 1/4 ผล ไปสับให้ละเอียด แล้วนำไปเข้าตู้เย็น
2.เมื่อได้เวลาอาบน้ำ ก็เปิดตู้เย็นและหยิบสับปะรดที่เราเตรียมไว้ไปด้วย เมื่ออาบน้ำขัดตัวเสร็จแล้ว เราก็หยิบสับปะรดเย็น ๆ ที่เตรียมมาไปขัดแขน ขา ข้อศอก หัวเข่า หรือบริเวณที่ต้องการ
3.ทิ้งไว้ประมาณ 15-20 นาที จึงล้างออกด้วยน้ำสะอาด เช็ดให้แห้ง แล้วทาด้วยครีมบำรุงผิวที่ใช้ประจำ
สูตรนี้ทำได้บ่อยครั้ง แต่ก็ไม่ควรเกินวันเว้นวัน และรับรองได้เลยว่าผิวคุณจะเนียนนุ่ม ไม่มีปัญหาศอกดำ เข่าด้านให้กังกลใจแน่นอนเลย...
เขียนโดย poompeungsri ที่ 10:18 ไม่มีความคิดเห็น:
ส่งอีเมลข้อมูลนี้BlogThis!แชร์ไปยัง Xแชร์ไปที่ Facebookแชร์ใน Pinterest

7 สูตรพอกหน้าจาก 7 ประเทศ

หากคุณเป็นผู้หนึ่งที่อยากมีใบหน้าสวยใส ดูอ่อนกว่าวัยอยู่เสมอ วันนี้เรามีสูตรการพอกหน้าแบบพิเศษ ที่สรรหามาจากทั่วโลกให้คุณได้บำรุงผิวหน้าของคุณ ให้คุณมีผิวที่ขาวใส แลดูอ่อนกว่าวัยคะ

แบบที่ 1 พอกหน้าด้วยน้ำผึ้ง (ประเทศสเปน)
วิธีการ : ล้างหน้าให้สะอาด เช็ดให้แห้งแล้วใช้ปลายนิ้วแตะน้ำผึ้งลูบไล้บนใบหน้าและลำคอเบาๆ สักครู่ แล้วนวดหน้าด้วยปลายนิ้วอย่างแผ่วเบาประมาณ 5 นาที จนน้ำผึ้งเหนียว นวดต่อไปไม่ได้แล้ว ก็ปล่อยทิ้ง ไว้ประมาณ 10-15 นาที ระหว่างนั้นให้นอนพัก ศีรษะอยู่ต่ำกว่าระดับปลายเท้า เพื่อให้เลือดไหลมาหล่อเลี้ยง ที่ใบหน้าและลำคอได้สะดวกยิ่งขึ้น เมื่อครบเวลาแล้วก็ค่อยๆ ใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นเช็ดน้ำผึ้งออก ให้สะอาด เป็นอันเสร็จพิธี


แบบที่ 2 พอกหน้าด้วยแอปเปิ้ล (ประเทศเบลเยี่ยม)
วิธีการ
: ปอกแอปเปิ้ล คว้านเอาไส้และเมล็ดออก บดให้ละเอียด ขณะที่บดให้ผสมน้ำผึ้งลงไปด้วย เมื่อบด จนเข้ากันดีแล้ว นำเอาส่วนผสมนี้มาพอกหน้าทิ้งไว้ 20 นาที แล้วใช้นมสดเย็นๆ ล้างออก

แบบที่ 3 พอกหน้าด้วยแตงโม (ประเทศตุรกี)
วิธีการ : ฝานแตงโมเป็นชิ้นบางๆ จากส่วนที่แดงที่สุด นำมาแปะให้ทั่วใบหน้า แล้วใช้ผ้าขาวบางคลุมหน้าไว้ ทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็น


แบบที่ 4 พอกหน้าด้วยไข่ขาว (ประเทศสวิตเซอร์แลนด์)
วิธีการ
: ต่อยไข่ไก่ 1 ฟอง แยกไข่แดงออกเทเฉพาะไข่ขาวลงในถ้วย ใช้ส้อมตีไข่ขาวจนเป็นฟองพอสมควร แล้วใช้แปรงขนนุ่ม จุ่มไข่ขาวทาให้ทั่วใบหน้าและลำคอ ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที จนไข่ขาวเริ่มจับตัวแข็ง แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็น

แบบที่ 5 พอกหน้าด้วยน้ำมะนาวและน้ำผึ้ง (ประเทศฝรั่งเศส)
วิธีการ : ผสมน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ กับน้ำมะนาว 1 ช้อนชา คนให้เข้ากัน แล้วนำมาทาให้ทั่วทั้งใบหน้าและลำคอ ทิ้งไว้อย่างน้อย 30 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น


แบบที่ 6 พอกหน้าด้วยมะเขือเทศ (ประเทศญี่ปุ่น)
วิธีการ
: ฝานมะเขือเทศ 1 ชิ้นหนาๆ ถูให้ทั่วใบหน้าและลำคอเบาๆ ตรงบริเวณที่มีสิวเสี้ยน มะเขือเทศมี วิตามินซีและกรด AHA จะช่วยลอกผิวหน้าที่ตายแล้วให้หลุดออกได้ หลังจากนั้นจึงค่อยใช้สำลีชุบน้ำเย็น เช็ดมะเขือเทศออกให้สะอาด


แบบที่ 7 พอกหน้าด้วยนมเปรี้ยว (ประเทศรัสเซีย)
วิธีการ
: สำหรับผู้ที่มีผิวหน้ามัน ล้างหน้าให้สะอาดก่อนจะเอานมเปรี้ยวที่แช่เย็นจัดพอกหน้า ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาทีหรือนานกว่านั้น แล้วใช้ผ้าขนหนูนุ่มๆ เช็ดออก ตำรานี้จะใช้ได้ผลดีมากในหน้าร้อน เพราะจะช่วยให้ ใบหน้าที่ซีดเซียวกลับเปล่งปลั่งขึ้นได้ จะเห็นว่าสูตรหน้าที่กล่าวมาทั้งหมด ทำได้ง่ายๆ จากของใกล้ๆ ตัวอันมาจากธรรมชาติโดยเฉพาะ ลองเลือก ใช้สูตรใดสูตรหนึ่งดู แล้วแต่คุณถนัดหรือพอจะหาวัตถุดิบได้ รับรองว่าใบหน้าขาวสวยใสคงอยู่ไม่ไกลเกิน เอื้อมแน่นอน...
เขียนโดย poompeungsri ที่ 10:17 ไม่มีความคิดเห็น:
ส่งอีเมลข้อมูลนี้BlogThis!แชร์ไปยัง Xแชร์ไปที่ Facebookแชร์ใน Pinterest

ดับร้อน แก้เครียด ด้วย "กล้วยหอม"


     "กล้วย" เป็นผลไม้ที่หากินได้ง้าย..ง่าย ในเมืองไทย ปลูกก็ง่าย ซื้อหาก็ได้ในราคาไม่แพง แถมกินแล้วยังได้ประโยชน์
แสนคุ้ม แถมรสชาติยังอร่อยดีเสียอีก
   "กล้วยหอม" ก็เป็นกล้วยชนิดหนึ่งที่รสชาติดีแถมมีประโยชน์มากมาย ไม่ว่าจะเป็นการช่วยบรรเทาอาการจุกเสียดแน่นท้อง
เพราะในกล้วยหอมมีสารลดกรดตามธรรมชาติอยู่ อีกทั้งยังช่วยแก้อาการไม่อยากจะตื่นในตอนเช้า (Morning Sickness)
หากกินกล้วยหอมในระหว่างมื้อเช้า เที่ยงหรือเย็น ก็จะช่วยปรับระดับน้ำตาลในเลือดและแก้อาการดังกล่าวในตอนเช้าได้
และในกล้วยหอมนั้นมีวิตามินบีอยู่มาก จะช่วยลดความเครียด และความอ่อนล้าได้
  คนที่เป็นโรคกระเพาะอาหารหรือเป็นแผลในลำไส้ การกินกล้วยหอมเป็นประจำยังทำให้มีการเคลือบผิวภายในกระเพาะ
อาหารลดการเป็นแผลในกระเพาะได้ และเส้นใยในกล้วยหอมก็จะช่วยให้การย่อยอาหารของลำไส้เล็กดีขึ้น ขับถ่ายได้ง่าย
อีกด้วย นอกจากนี้กล้วยหอมยังช่วยปรับระดับอุณหภูมิในร่างกาย การกินกล้วยหอมในวันที่อากาศร้อนๆ ก็จะช่วยให้อุณหภูมิ
ในร่างกายลดลงได้บ้าง      
  ไม่ใช่เพียงแค่เรื่องกินเท่านั้น แต่ยังมีเกร็ดเล็กๆ น้อยๆ อยู่ว่า ใครที่โดนยุงกัดเป็นตุ่มมา ให้ลองใช้เปลือกกล้วยหอมด้านใน
ถูบริเวณที่ถูกยุงกัด ก็จะสามารถช่วยลดอาการคันหรือบวมได้ด้วย




 ข้อมูลจาก  ผู้จัดการออนไลน์
เขียนโดย poompeungsri ที่ 10:03 ไม่มีความคิดเห็น:
ส่งอีเมลข้อมูลนี้BlogThis!แชร์ไปยัง Xแชร์ไปที่ Facebookแชร์ใน Pinterest
ทุเรียน กินอย่างไรไม่อ้วน เผยช่วยชำระล้างขยะในลำไส้ แถมเป็นยาถ่ายพยาธิชั้นยอด
คงสงสัยกันสิว่า กินกันอย่างไรล่ะที่ไม่ให้อ้วน ตำราไทยบอกไว้ให้กินเป็นยาถ่ายพยาธิปฏิบัติไม่ยากเลย ง่ายๆ
เพียงแค่ตื่นนอนตอนเช้าๆ ยามรุ่งอรุณ ก็ราวๆ ประมาณ 05.00 น. หลังจากล้างหน้า แปรงฟัน เรียบร้อย
เริ่มกินทุเรียนได้ทันที กินพอประมาณ อาจสักครึ่งลูกย่อมๆ หรืออาจมากน้อยกว่านั้น ตามน้ำหนัก
หรือความอ้วน ความผอม คือ อ้วนก็มากหน่อย ผอมก็น้อยลง ไม่ใช่กินเพื่ออิ่มแต่กินเป็นยา แล้วดื่มน้ำอุ่นตามไปมากๆควรกินสองวันติดต่อกันและงดอาหารในทั้งสองเช้านั้น ความร้อนในสารกำมะถันธรรมชาติ และกากใย จากพูทุเรียน จะออกฤทธิ์ชำระล้างขยะในลำไส้ออกได้อย่างเกลี้ยงเกลา รวมทั้งเป็นยาถ่ายพยาธิต่างๆ อีกทั้งยังเป็นยาถ่ายในผู้ป่วยน้ำเหลืองเสีย ซึ่งมักเกิดแผลจากแมลงกัดอยู่เสมอทุเรียนให้ประโยชน์คณานับที่แพทย์แผนไทย มีอาทิเนื้อสีเหลือง รสหวานร้อน ทำให้เกิดความร้อน แก้โรคผิวหนัง ทำให้ฝี หนอง แห้ง เนื้อทุเรียนมีฤทธิ์ขับพยาธิเปลือกหนาม รสเฝื่อน สับแช่ในน้ำปูนใสใช้ชะล้างแผลที่เกิดจากน้ำเหลืองเสี ย แผลพุพอง เผาทำถ่าน บดจนเป็นผง คลุกในน้ำมันมะพร้าว หรือน้ำมันงา ลดความบวองจากคางทูม และเผาเอาควันไล่ยุงและแมลงใบทุเรียน รสเย็นและเฝื่อน ใช้ต้มน้ำอาบแก้ไข้ แก้ดีซ่านและเป็นส่วนผสมในยาขับพยาธิรากจากต้น ตัดเป็นข้อๆ ต้มให้เดือด ดื่มบรรเทาอาการไข้และรักษาอาการท้องร่วง
เขียนโดย poompeungsri ที่ 10:02 ไม่มีความคิดเห็น:
ส่งอีเมลข้อมูลนี้BlogThis!แชร์ไปยัง Xแชร์ไปที่ Facebookแชร์ใน Pinterest

10 สุดยอดอาหารดีท๊อกซ์

1.กระเทียม กระเทียมมีวิตามินซี ซึ่งช่วยส่งเสริมระบบภูมิคุ้มกันและตับ แต่ไม่ควรกินกระเทียมไปทั้งเม็ดเพราะมีเอ็มไซม์มากเกินไป ควรจะหั่นหรือซอยบางๆ ทิ้งไว้ 15 นาทีก่อนแล้วนำไปปรุง



2. น้ำมะนาว
เป็นแหล่งอาหารวิตามินซีสูง ช่วยขับสารพิษออกจากร่างกายและเผาผลาญไขมัน การดื่มน้ำมะนาว (แบบไม่ใส่น้ำตาล) ทุกเช้าจะช่วยกระตุ้นกระบวนการเผาผลาญ
3.ขิง ขิงนอกจากจะเพิ่มรสชาติเผ็ดร้อนให้อาหารแล้วยังช่วยขับของเสีย
ออกจากผิวหนังได้อีกด้วย ด้วยการนำขิงบดละเอียดพร้อมกับเกลือ
อาบน้ำลงในอ่างอาบน้ำร้อน หลังจากนั้นลงไปแช่ตัวให้นาน
เท่าที่ทำได้เท่านี้จะเป็นการขับของเสียออกจากร่างกายได้อีกหนึ่งทาง


4. พืชใบเขียว
คลอโรฟิลล์จากพืชช่วยเรื่องการย่อยอาหาร ผลที่ตามมาคือร่างกาย
จะกำจัดของเสียได้ง่ายขึ้น ลองทานแบบสลัดใส่ผักในซุปหรือจะผัด
กับน้ำมันมะกอกแล้วแต่ตามเมนูที่ชอบ




5. ธัญญพืช
ข้าวโอ๊ตและขนมปังข้าวไรย์เป็นอาหารที่ทานกันตั้งนานแล้วแต่ถึงอย่างไร ธัญญพืชเหล่านนี้ยังเป็นอาหารที่มีประโยชน์มากด้วยเช่นกัน เพราะประกอบด้วยไพเบอร์ที่ดีต่อสุขภาพ

6. ชาเขียว
เรารู้กันดีอยู่ว่าการดื่มชาเขียวช่วยต่อต้านสารอนุมูลอิสระในร่างกาย นอกจากนี้สารคาเตชินที่มีอยู่ในชาเขียวยังช่วยเร่งการทำงานของตับและเพิ่มการผลิตเอ็มไซม์เพื่อขจัดของเสียในร่างกาย

7. บีทรูท
ไฟเบอร์จากบีทรูทจะเพิ่มการผลิตเอ็มไซม์ต่อต้านอนุมูลอิสระในตับซึ่งจะช่วยตับและถุงน้ำดีกำจัดสารพิษอื่นๆ ออกจากร่างกาย

8. ผักกาด มีคุณสมบัติช่วยทำความสะอาดตับ ลองทานน้ำซุปใส่ผักกาดหรือทานเป็นสลัดกับแอปเปิ้ลเพิ่มความกรุบกรอบให้รสชาติอาหาร

9. ผลอาร์ติโชค
ช่วยผลิตน้ำดี ซึ่งจะช่วยให้ร่างกายย่อยอาหารเร็วขึ้นและดูดซึมวิตามิน
ได้ง่ายขึ้น นอกจากจะนำใบมาปรุงเป็นอาหารต่างๆ แล้ว
ลองทำชาอาร์ติโชคง่ายๆ ด้วยการนำใบวางไว้ในถ้วยแล้วเทน้ำร้อนผสมกับน้ำผึ้ง



10. ผลไม้สด
ไม่ว่าจะเป็นผลไม้ตระกูลเบอรี่ต่างๆ มะม่วง แอปเปิ้ลหรือผักสดต่างอุดมด้วย
ไฟเบอร์ สารต้านอนุมูลอิสระ และวิตามิน ซึ่งจะช่วยให้ขับของเสียออก
จากร่างกายเช่นกัน

     
เขียนโดย poompeungsri ที่ 09:59 ไม่มีความคิดเห็น:
ส่งอีเมลข้อมูลนี้BlogThis!แชร์ไปยัง Xแชร์ไปที่ Facebookแชร์ใน Pinterest
มีปัญหาผิวหน้า

        หากมีปัญหาผิวหน้า เช่น มีริ้วรอยเหี่ยวย่น และสงสัยเหมือนสาวๆ ที่ประเทศจีนว่า อาจเกิดจากรังสีจากคอมพิวเตอร์ ควรรับประทาน ผักผลไม้สีสดทุกชนิด เพื่อเพิ่มสารต้านออกซิเดชั่น นอกจากนี้ควรดื่มน้ำให้เพียงพอ และรับประทานอาหารเย็นที่ย่อยง่าย และรสไม่จัด เพื่อช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานไม่หนัก ทำให้เริ่มวันใหม่อย่างสบายตัว
เขียนโดย poompeungsri ที่ 09:54 ไม่มีความคิดเห็น:
ส่งอีเมลข้อมูลนี้BlogThis!แชร์ไปยัง Xแชร์ไปที่ Facebookแชร์ใน Pinterest

ประโยชน์และหน้าที่ของน้ำ

          ในแต่ละวันคุณควรได้รับน้ำในปริมาณที่เพียงพอ การสูญเสียน้ำมาก หรือการได้รับน้ำ น้อยจะทำให้เกิดภาวะแห้งน้ำ
น้ำเป็นส่วนประกอบสำคัญของสิ่งมีชีวิตทั่วๆ ไป มีหน้าที่สำคัญหลายประการคือ
ช่วยในการย่อย การดูดซึม และการไหลเวียนของสารต่างๆ ในร่างกาย

เป็นตัวทำงานสำหรับสารละลายเคมีต่างๆ ทั้งที่เป็นอาหาร และสารอื่นๆ ทำให้สามารถเกิดปฏิกิริยาเคมีในร่างกายได้

ช่วยปกป้องเซลล์และเนื้อเยื่อต่างๆ รวมทั้งทารกในครรภ์มารดา

เป็นสื่อกลางกระบวนการทางชีวเคมีต่างๆ ในร่างกาย และรักษาสมดุลกรดด่าง ในร่างกาย

ช่วยในการขนส่งสารต่างๆ ระหว่างเนื้อเยื่อ กับกระแสโลหิต

ช่วยในการกำจัดของเสียจากร่างกาย เป็นปัสสาวะทางไต

ทำหน้าที่หล่อลื่นข้อต่างๆ ในร่างกาย

ควบคุมอุณหภูมิในร่างกาย โดยเฉพาะการระบายน้ำจากผิวหนัง ลมหายใจ ใน คนที่ออกกำลังกายจะมีการเผาผลาญในร่างกาย เกิดความร้อน และขับออกทางเหงื่อ
ในแต่ละวันคุณควรได้รับน้ำในปริมาณที่เพียงพอ การสูญเสียน้ำมาก หรือการได้รับน้ำ น้อยจะทำให้เกิดภาวะแห้งน้ำ ทำให้รู้สึกกระหาย กล้ามเนื้อไม่มีแรง อ่อนเพลีย หมดสติ หรืออาจเสียชีวิตได้ ในทางตรงกันข้าม ถ้าร่างกายได้รับน้ำมากเกินไป และไม่สามารถ ควบคุมให้อยู่ในสภาพที่สมดุลได้จะเกิดการคั่ง บวม ปวดศีรษะ ตามัว เป็นตะคิว และอาจ ชักได้




ที่มา: 
เขียนโดย poompeungsri ที่ 09:54 ไม่มีความคิดเห็น:
ส่งอีเมลข้อมูลนี้BlogThis!แชร์ไปยัง Xแชร์ไปที่ Facebookแชร์ใน Pinterest

กินผลไม้ถูกเวลา...มากคุณค่า

กินผลไม้ตอนท้องว่าง...ได้ประโยชน์สูงสุด

ไดมอนด์เสนอแนวความคิดว่าน้ำและกากใยในผลไม้ช่วยในการขับถ่ายของเสียออกจากร่างกาย จึงช่วยลดน้ำหนักได้ และร่างกายจะใช้ประโยชน์จากผลไม้สูงสุดต่อเมื่อคนนั้นต้องกินผลไม้อย่างถูกวิธี คือการกินผลไม้ขณะที่ท้องว่าง ไม่ควรกินผลไม้พร้อมกับหรือหลังอาหารอื่นๆ หรือหากกินผลไม้แล้วจะกินอาหารอื่นตาม ก็ควรรอเวลาอย่างน้อย 20-30 นาทีเพื่อให้ผลไม้ที่กินเข้าไปตกสู่ลำไส้เล็กและดูดซึมสารอาหารจากผลไม้เข้าสู่ร่างกายได้อย่างเต็มที่ การห้ามกินผลไม้หลังอาหารนั้นเพราะเมื่ออาหารตกถึงกระเพาะจะใช้เวลาย่อยประมาณ 4 ชั่วโมง หากกินผลไม้ตามลงไปแทนที่จะผ่านไปยังลำไส้เล็กได้เลยก็จะต้องถูกขัดขวางจากอาหารที่รอการย่อยเหล่านั้น ระหว่างนี้ทั้งอาหารและผลไม้ที่ผสมกันในกระเพาะจึงอาจทำให้เกิดการหมักบูด เกิดแก๊ส ซึ่งมีผลให้เกิดอาการแน่น จุก หรือไม่สบายท้องได้ ทั้งนี้สอดคล้องกับแนวคิดของ ดร.เฮอร์เบิร์ต เอ็ม. เชลตัน ผู้เชี่ยวชาญเรื่องโภชนาการของสหรัฐฯ ที่เน้นว่าคุณค่าของผลไม้จะให้ประโยชน์กับเราเต็มที่เมื่อกินขณะท้องว่าง แต่หากใครที่กินผลไม้ไม่ถูกวิธี แต่ไม่รู้สึกแย่อะไร ก็แสดงว่าร่างกายคุณปรับตัวได้ดี แต่ก็น่าเสียดายที่จะไม่ได้รับคุณค่าของผลไม้เต็มที่อย่างที่ควรจะเป็น
เขียนโดย poompeungsri ที่ 09:49 ไม่มีความคิดเห็น:
ส่งอีเมลข้อมูลนี้BlogThis!แชร์ไปยัง Xแชร์ไปที่ Facebookแชร์ใน Pinterest

วันจันทร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2554

การแต่งกายบอกนิสัยได้นะ...ลองมาดูกัน

    ตัดผมสั้น ไม่แต่งหน้าทาปาก หมกตัวเองภายในห้อง เขียนบันทึกหรือเขียนบทกลอน เป็นคนอ่อนไหว และอ่อนโยน

1. อกหัก
มีความคิด ถ้าโกธรแล้วหน้ากลัวมาก
มีการระบายอย่างชัดเจน
2. แต่งหน้าทาปากบางๆบอกว่าเธอเป็นสาวแล้ว
เป็นคนรักสนุก ชอบเที่ยว อยากรู้อยากเห็น
มีเพื่อนฝูงมากทั้งชายและหญิง มีความคิดฉับไว
รักเที่ยวมากกว่ารักการทำงาน





4. ใส่แว่นดำ การใส่แว่นดำไม่เลือกสถานที่
เช่นในร้านอาหารหรือห้างสรรพสินค้าบ่งบอกว่าผู้หญิงประเภทนี้
มีความต้องการสูงมากในทุก ๆ ด้าน



                                                                        
                            5. สวมถุงน่อง เป็นคนเฟ้อฝันในเรื่องความรัก

จริงจังกับความรัก ชอบสร้างอารมณ์โรแมนติก
รักใครรักจริง เป็นคนเสียสละ เละเป็นคนหลอกตัวเอง





เขียนโดย poompeungsri ที่ 02:24 ไม่มีความคิดเห็น:
ส่งอีเมลข้อมูลนี้BlogThis!แชร์ไปยัง Xแชร์ไปที่ Facebookแชร์ใน Pinterest

ความแตกต่างของโฟมล้างหน้าแบบมีฟองและไม่มีฟอง


   พบว่าในวันหนึ่ง ๆ เราต้องล้างหน้าอย่างน้อยวันละ 2 ครั้งทุกเช้าเย็น เท่ากับว่าใน 1 ปี เราต้องล้างหน้าถึง 365x2 = 730 ครั้ง ดังนั้น การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวจึงควรล้างออกได้อย่างหมดจด เป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง เพราะสาว ๆ บางคนประสบปัญหาดูแลผิวหน้าได้ดีเท่าไหร่ แต่ใบหน้าก็ยังคงเป็นสิว และทิ้งริ้วรอยให้รำคาญใจ วันนี้เราจึงขอนำเสนอความแตกต่างระหว่างโฟมมีฟองกับโฟมไม่มีฟองมาให้สาว ๆ ได้ทำความรู้จักกันมากขึ้นคะ
  1. โฟมล้างหน้าประเภทมีฟอง
สารที่ให้ฟองมาก มักจะเป็นสารทำความสะอาดที่มีประจุไฟฟ้าเป็นประจุลบ (Anionic surfactant) ซึ่งหลังจากใช้ล้างหน้าแล้วมักจะมีผิวแห้งตึง ยิ่งถ้าคุณล้างหน้าบ่อย ๆ จะยิ่งมีผิวหน้าแห้งตึงมากยิ่งขึ้น สารในกลุ่มนี้คือ โซเดียม ลอริล ซีลเฟต (sodium lauryl sulfate หรือ SLS) ซึ่งมักจะก่อให้เกิดผื่นระคายสัมผัสได้บ่อย ๆ (Irritant contact dermatitis)
   นอกจากนี้ สารที่มีประจุเป็นลบ จะจับกับประจุบวกบนผิวหน้าทำให้เกิดสารตกค้างบนผิวหน้าได้ง่าย ยิ่งนานวันเข้าก็จะยิ่งสะสมมากขึ้น ก่อให้เกิดการอุดตันบริเวณต่อมรูขุมขน ทำให้เกิดสิวอุดตันได้ง่าย ที่เราเรียก "โคมีโดน" (Comedone)

 2. โฟมล้างหน้าประเภทไม่มีฟอง
สารที่ใช้ทำความสะอาดผิวหน้าจะเป็นชนิดที่ไม่มีประจุไฟฟ้า (Nonionic surfactant) พวกครีมโฟมล้างหน้าที่ไม่มีฟองนี้ เมื่อนำมาใช้ล้างหน้าจะมีข้อดีคือ ชำระล้างออกด้วยน้ำได้ง่าย เนื่องจากไม่มีประจุไฟฟ้านั่นเอง จึงไม่ทิ้งสารตกค้างบนผิวหน้า ไม่มีการสะสมที่ผิวหน้า ไม่ก่อให้เกิดอาการระคายเคืองต่อผิว ไม่ก่อให้เกิดการอุดตัน ดังนั้นจึงไม่มีสิวอุดตันเกิดขึ้น เมื่อใช้โฟมไม่มีฟองล้างหน้า ผิวหน้าจึงดูสดใส ไร้ริ้วรอย และไม่แห้งตึงหลังการล้างหน้า
        เพราะเหตุนี้เวลาไปพบแพทย์ เพื่อดูแลปัญหาเรื่องสิวบนใบหน้า แพทย์จึงมักแนะนำให้ใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าชนิดไม่มีฟองคะ ซึ่งหากใช้อย่างสม่ำเสมอติดต่อกัน ผิวหน้าจะปรับสู่สภาพที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เพราะมีค่ากรด-ด่าง (pH) ในระดับที่ใกล้เคียงกับธรรมชาติคะ



                                                                                                                ที่มา: กระปุกดอทคอม 
เขียนโดย poompeungsri ที่ 01:40 ไม่มีความคิดเห็น:
ส่งอีเมลข้อมูลนี้BlogThis!แชร์ไปยัง Xแชร์ไปที่ Facebookแชร์ใน Pinterest

วิธีการเเต่งหน้าให้เค้ากับสีผิว




แม้จะเป็นสิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ว่า สาว ๆ ทุกคนล้วนมีทักษะในการแต่งหน้า แต่งแต้มความสวยให้กับตัวเองทั้งนั้น แต่สังเกตกันไหมคะว่าหลายครั้ง สาว ๆ ก็แต่งหน้าออกมาไม่ได้ดั่งใจตัวเองเลย และดูแปลก ๆ พิกล ซึ่งเราก็มักจะโทษเครื่องสำอางบ้าง โทษอุปกรณ์แต่งหน้าบ้าง แต่จริง ๆ แล้ว เรื่องนั้นไม่ใช่เรื่องสำคัญหรอกค่ะ โทนสีที่ใช้ในการแต่งหน้านี่แหละ เป็นสิ่งที่สำคัญกว่าในการแต่งหน้าให้ออกมาดูดี           

          1. สาวผิวคล้ำมาก โทนสีแต่งหน้าที่เหมาะกับผิวคุณ คือสีน้ำตาลอ่อน ส้มอมน้ำตาล หรือสีนู้ด และควรจะรองพื้นด้วยรองพื้นสีเท่ากับผิวจริงจะดีที่สุด เพื่อไม่เปลี่ยนผิวให้เป็นสีเทา ไม่เป็นธรรมชาติค่ะ และควรหลีกเลี่ยงลิปสติกสีเข้มอย่างสีแดง สีชมพู เพราะจะทำให้ดูหลอกตาอย่างมากเลยล่ะค่ะ

      2. สาวผิวสีน้ำผึ้ง โทนสีแต่งหน้าที่เหมาะกับผิวคุณมากที่สุด คือ สีส้มอมน้ำตาล สีนู้ด และสีทอง และควรรองพื้นด้วยรองพื้นสีสว่างกว่าผิวจริง 1 ระดับ ส่วนลิปสติกที่เหมาะกับสีผิวสีนี้ มากที่สุด คือ โทนสีนู้ดค่ะ และสามารถใช้ลิปสติกสีเข้มได้ แต่ต้องเป็นสีแก่ ๆ นิดหน่อยนะคะ อย่าง น้ำตาลส้ม หรือชมพูส้มอ่อนจะเหมาะมากเลยทีเดียว

       3. สาวผิวสองสี สามารถแต่งหน้าได้ทุกโทนสี แต่ไม่ควรจะเข้มมากนัก ส่วนสีที่จะช่วยทำให้ดูโดดเด่นขึ้น ได้แก่ สีส้มอ่อน สีน้ำตาลอมส้ม และสีชมพูอ่อนค่ะ

         4. สาวผิวเหลือง โทนสีที่เหมาะกับสาวผิวเหลือง คือ สีชมพู ขาว โดยใช้รองพื้นที่สว่างกว่าผิวจริง 2 ระดับ จากนั้นเล่นสีระหว่างขาวกับชมพู หรือส้มชมพู จะทำให้สาวผิวเหลืองดูมีสุขภาพดี มีเลือดฝาดได้

         5. สาวผิวขาว เหมาะกับการแต่งหน้าทุกโทนสี โดยเฉพาะสีเข้ม ๆ แนวสโมคกี้อาย หรือจะเป็นสีหวาน ๆ อย่างสีชมพูก็ได้ แต่หลีกเลี่ยงการแต่งหน้าสีเหลืองนะคะ เพราะอาจทำให้หน้าดูสว่างมากเกินจนซีด และไม่เป็นธรรมชาติเลยล่ะค่ะ

           และนี่คือเคล็ดลับการแต่งหน้าให้เข้ากับสีผิวของตัวเอง ยังไงสาว ๆ ลองนำไปปรับใช้ดูนะคะ เพื่อการแต่งหน้าที่กลมกลืน สวย และดูเป็นธรรมชาติมากที่สุด



                                                                                                    โดย :กระปุกดอทคอม
                                                                                                            

แต่งหน้าโทนสีไหน เข้ากับผิวคุณ

เขียนโดย poompeungsri ที่ 01:28 ไม่มีความคิดเห็น:
ส่งอีเมลข้อมูลนี้BlogThis!แชร์ไปยัง Xแชร์ไปที่ Facebookแชร์ใน Pinterest

ใบหน้าใสกับกล้วยหอม

กระชับใบหน้าให้สวยใสกับกล้วยหอม...
วันหยุดพักผ่อนกันทั้งที อย่าเสียเวลาปล่อยให้เวลาผ่านไปโดยปล่าวประโยชน์ค่ะ วันนี้เรามีเคล็ดลับดีๆและง่ายๆช่วยให้คุณสาวๆกระชับใบหน้าให้ดูเฟริ์มง่ายๆด้วยผลไม้ใกล้ตัวที่หาซื้อง่ายแสนง่ายมาฝากกันค่ะ
1.นำกล้วยหอมสุก เน้นว่าต้องสุกเท่านั้นนะค่ะ เพราะหากไม่ค่อยสุกแล้วล่ะก็ กล้วยหอมจะมีลักษณะเหมือนเป็นยางนิดๆ อาจจะทำให้หน้าเราแพ้ได้ค่ะ
2. นำกล้วยหอมมาบดให้ละเอียด พร้อมๆกับนำข้าวโอ๊ตแบบบดละเอียด มา 1 ช้อนโต๊ะ ผสมให้เข้ากัน
3. นำมาพอกหน้าทิ้งไว้อย่างน้อย 15 นาที แล้วใช้นิ้วค่อยๆสครับออกทีละน้อย จากนั้นทำความสะอาดหน้าให้สะอาด
4. ผิวหน้าจะรู้สึกกระชับและดูเต่งตึงหรือเฟริ์มขึ้น เนื่องจากคุณสมบัติจากกล้วยหอมและข้าวโอ๊ต และยังช่วยให้ผิวหน้าดูสวยใสไม่มีริ้วรอยมากวนใจอีกด้วยนะค่ะ
เป็นอย่างไรกันบ้างค่ะกับเคล็ดลับความงามอย่างธรรมชาติที่วิธีทำและวัตถุดิบที่ใช้ก็ง่ายแสนง่ายและแถมราคาก็ยังไม่แพงอีกด้วยนะค่ะ และช่วยให้ผิวหน้าดูสวยใสอีกด้วยนะค่ะ
เขียนโดย poompeungsri ที่ 00:57 ไม่มีความคิดเห็น:
ส่งอีเมลข้อมูลนี้BlogThis!แชร์ไปยัง Xแชร์ไปที่ Facebookแชร์ใน Pinterest

ขจัดกลิ่นกายใต้วงแขนเพื่อความมั่นใจ....

9 วิธีง่ายๆที่ช่วยขจัดกลิ่นกายใต้วงแขน
เรื่องแบบนี้สาวๆส่วนใหญ่มักไม่พึงประสงค์แน่ๆใช่ไหมค่ะ เพราะกลิ่นที่ว่านี้ ไม่มีใครอยากได้กลิ่นหรอกค่ะ วันนี้เรามีวิธีขจัดกลิ่นกายใต้วงแขนกันค่ะ และแถมยังช่วยเพิ่มความขาวเนียนบริเวณใต้วงแขนขึ้นกันด้วยค่ะ และที่สำคัญให้ทำในช่วงเย็น หลังจากกลับมาจากที่ทำงาน ออกกำลังกาย หรือทำกิจกกรรมทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว นะค่ะ
1. เริ่มแรกเลยค่ะ กำจัดขนใต้วงแขน ออกให้หมดเลยนะค่ะ เพราะขนที่ใต้วงแขนเรานี่แหละค่ะ ตัวร้ายที่เป็นบ่อเกิดสิ่งหมักหมมได้ง่ายค่ะ
2. อาบน้ำชำระร่างกายให้สะอาดและใช้ผ้าสะอาดเช็ดบริเวณใต้วงแขนของเราให้แห้ง
3.เตรียมอุปกรณ์โดยใช้  เกลือสปา ครึ่งช้อนโต๊ะ โยเกิร์ต 2 ช้อนโต๊ะ ผสมให้เข้ากัน ถ้าส่วนผสมเหลวมากให้ใส่เกลือสปาเพิ่ม
4.เตรียม มะขามเปียกครึ่งกำมือ จากนั้นให้จุ่มลงไปใน เกลือสปาที่ผสมโยเกิร์ตไว้ จากนั้นนำมาขัดหรือสครับใต้วงแขน ไปเรื่อยๆ ประมาณ 5 – 10 นาที แล้วซับออกด้วยผ้าแห้ง ทำซ้ำอีก 2 รอบ แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด
5. จากนั้นให้ใช้โทนเนอร์เช็ดรอบๆบริเวณใต้วงแขน เพื่อกระชับรูขุมขน บริเวณใต้วงแขนและ สังเกตด้วยนะค่ะ หากเป็นคนแพ้แอลกอฮอล์ ก็ให้เลือกใช้แบบที่ไม่ผสมแอลกอฮอล์ค่ะ  เพราะจะทำให้ใต้วงแขนแพ้เป็นผื่นได้ค่ะ
6.ห้ามเด็ดขาดเลยนะค่ะสำหรับคนที่มีกลิ่นตัวแรง หรือมีเหงื่ออกเยอะบริเวณใต้วงแขน ห้ามทาแป้งลงบริเวณใต้วงแขน เพราะจะทำให้เกิดการอุดตันได้ค่ะ
7.หมั่นทำความสะอาด หรือเช็ดรอบๆ บริเวณ โรลออนที่ใช้เราใช้ประจำค่ะ
8.พยายามงด เนื้อสัตว์ หรือทานให้น้อยลง โดยเฉพาะเนื้อวัวค่ะ เพราะจะทำให้มีกลิ่นตัวที่แรง มากกว่า การทาน ไก่ และ หมูค่ะ
9.ก่อนนอนให้ทานผลไม้ที่ช่วยให้ร่างกายมีกลิ่นกายที่สดชื่นเช่น แอ๊ปเปิ้ล 1 ลูก ส้มนาเวล หรือ ส้มเขียวหวาน 1 ลูก จะช่วยให้ร่ายกายมีกลิ่นตัวเหมือนผลไม้ที่เรารับประทานค่ะ และจะช่วยลดกลิ่นตัวเราได้มากเลยค่ะ
เขียนโดย poompeungsri ที่ 00:47 ไม่มีความคิดเห็น:
ส่งอีเมลข้อมูลนี้BlogThis!แชร์ไปยัง Xแชร์ไปที่ Facebookแชร์ใน Pinterest

วันพุธที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ลดน้ำหนัก7วัน 9กิโล

    สูตรนี้บางคนทำแล้วสามารถลดได้ถึง 9 กิโลกรัม
ใน 7 วันเลยนะคะ ลองเอาไปทำตามดู
แต่อย่างไรก็ตามก็ขึ้นอยู่กับภาวะร่างกายของคนเราด้วยนะคะ
ถ้าหากน้ำหนักมากๆ เกิน 80 กิโลกรัม
ขึ้นไป หากทำตามสูตรนี้ได้ เชื่อว่าน่าจะลดได้ 9 กิโลแน่ๆ ค่ะ ใจแข็งพอรึเปล่าคะ
                                             

วันที่ 1
มื้อเช้า : ชาหรือกาแฟไม่ใส่น้ำตาล
มื้อกลางวัน : ไข่ต้ม 2 ฟอง กับผักต้ม
มื้อเย็น : สเต็กกับสลัดผักน้ำใส และผลไม้

วันที่ 2
มื้อเช้า : ชาหรือกาแฟไม่ใส่น้ำตาลกับขนมปังโฮลวีต 1 แผ่น
มื้อกลางวัน : สเต็กหรือเนื้อหมู เนื้อวัวย่างก็ได้ กับสลัดผักเขียวและผลไม้
มื้อเย็น : แฮมแผ่นต้มปริมาณเท่าใดก็ได้

วันที่ 3
มื้อเช้า : ชาหรือกาแฟไม่ใส่น้ำตาลกับขนมปังโฮลวีต 2 แผ่น
มื้อกลางวัน : ไข่ต้ม 2 ฟอง และสลัดกับแครอท
มื้อเย็น : แฮมแผ่นต้มปริมาณเท่าใดก็ได้

วันที่ 4
มื้อเช้า : ชาหรือกาแฟไม่ใส่น้ำตาลกับขนมปังโฮลวีต 1 แผ่น
มื้อกลางวัน : ไข่ต้ม 1 ฟองกับแครอทต้ม
มื้อเย็น : ผลไม้และโยเกิร์ตรสธรรมชาติ

วันที่ 5
มื้อเช้า : ชาหรือกาแฟไม่ใส่น้ำตาล
มื้อกลางวัน : ปลาเผาหรือปลาย่างกับผักต้ม
มื้อเย็น : สเต็ก หรือเนื้อย่างไม่ติดมัน กับสลัดผักสดน้ำใส

วันที่ 6
มื้อเช้า : ชาหรือกาแฟไม่ใส่น้ำตาล
มื้อกลางวัน : ไก่ย่างไม่ติดหนัง
มื้อเย็น : ไข่ต้ม 2 ฟอง กับแครอทต้ม

วันที่ 7
มื้อเช้า : กาแฟหรือชาบีบมะนาว แต่ไม่ใส่น้ำตาล
มื้อกลางวัน : ผลไม้อะไรก็ได้ในปริมาณต้องการ
มื้อเย็น : อะไรก็ได้ทุกอย่างที่อยากทาน ไม่จำกัดปริมาณ





                                        ที่มา       www.ladytip.com
เขียนโดย poompeungsri ที่ 11:40 ไม่มีความคิดเห็น:
ส่งอีเมลข้อมูลนี้BlogThis!แชร์ไปยัง Xแชร์ไปที่ Facebookแชร์ใน Pinterest

หน้าขาวจากธรรมชาติ..

                                   สูตรลับหน้าขาวใส


 มีเคล็บลับบำรุงผิวหน้ามาฝากกัน 2 สูตร ใครที่อยากจะมีผิวสวยใส ด้วยวิธีง่าย ๆ
ก็ลองนำไปทำดูได้นะคะ ส่วนผสมต่าง ๆ
มีดังนี้ค่ะ



                   สูตรที่ 1 สูตรลับหน้าขาว   
        
                             1.มะขามเปียก
                             2. นมสด
                             3. น้ำผึ้ง


วิธีทำ- ผสมน้ำมะขามเปียก นมสด และน้ำผึ้ง (ใส่นมสด และน้ำผึ้งแค่ครึ่งหนึ่งของน้ำมะขามเปียก) จากนั้นตั้งไฟอ่อนๆ คนให้เข้ากัน ทิ้งไว้ให้เย็น
วิธีเก็บรักษา - ใส่ในภาชนะที่มีฝาปิดแล้วแช่ในตู้เย็น สามารถ เก็บไว้ได้นานเท่าที่ต้องการเลยค่ะ
วิธีใช้ – ล้างหน้าด้วยน้ำเปล่า เช็ดให้แห้ง แล้วทาครีมมะขามเปียกให้ทั่วใบหน้าและลำคอ ทิ้งไว้ประมาณ 20-30 นาที หรือนานเท่าใดก็ได้ ตามใจผู้ใช้ แล้วล้างออกตามปกติ
ข้อควรระวัง – หลีกเลี่ยงการทาบริเวณดวงตา เพราะอาจจะทำให้ระคายเคืองได้
ข้อพึงกระทำ – ถ้าต้องการให้ได้ประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ควรทาครีมมะขามเปียกในขณะที่ครีมเย็น หรือเพื่งจะเอาครีมออกจากตู้เย็น เพราะความเย็นจะทำให้รูขุมขนเล็กลง ผิวหน้าก็จะเรียบขึ้นค่ะ
                   
                  สูตรที่ 2 สูตรหน้าขาวใสด้วยธรรมชาติ  
                1. แป้งดินสอพอง
                2. ขมิ้นหรือไพร
                3. มะขามเปียกหรือมะนาว


 
วิธีทำ- ละลายดินสอพองไม่ต้องแฉะมากให้พอข้น แล้วผสมไพรหรือขมิ้น และมะนาวหรือมะขามเปียก ผสมให้เป็นเนื้อเดียวกัน นำมาพอกหน้าทิ้งไว้ให้แห้งแล้วล้างออกด้วยน้ำเปล่า ใบหน้าของคุณก็จะขาวใสขึ้นค่ะ





ที่มาจาก www.ladyissue.com
ภาพประกอบจาก http://happyviruss.com


เขียนโดย poompeungsri ที่ 10:09 ไม่มีความคิดเห็น:
ส่งอีเมลข้อมูลนี้BlogThis!แชร์ไปยัง Xแชร์ไปที่ Facebookแชร์ใน Pinterest

10 สุดยอดผลไม้ที่กินแล้วไม่อ้วน

ผลไม้
          ผลไม้ 10 ชนิดต่อไปนี้ จัดเป็นผลไม้ที่อุดมด้วยวิตามินและเกลือแร่ และ กินได้บ่อยๆ แบบไม่ต้องกลัวอ้วน ทั้งยังมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์และเพิ่มภูมิคุ้มกันอีกด้วย ผลไม้ทั้ง 10 ชนิดนี้มีปริมาณคาร์โบไฮเดรตเฉลี่ย 1.9 – 10 กรัมต่อน้ำหนัก 100 กรัม โดยอะโวกาโดมีคาร์โบไฮเดรตต่ำสุด
แอปเปิลมีคาร์โบไฮเดรตสูงสุด

     1. กีวี - มีสารแอกทินิดีน ที่ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันทำให้หัวใจแข็งแรง

     2. มะเขือเทศ - ช่วยลดความเสียงจากมะเร็งและโรคหัวใจ

     3. มะละกอ – ช่วยย่อยอาหารและโปรตีน

     4. อะโวกาโด –  ช่วยยับยั้งสารก่อมะเร็งชนิดต่างๆ ได้ถึง 30 ชนิด

     5. สับปะรด – ช่วยต้านเชื้อไวรัสและแบคทีเรีย

     6. ผลไม้จำพวกเบอร์รี่ – เช่น สตอเบอร์รี่ แบลคเบอร์รี่ ผลไม้กลุ่มนี้ดีต่อระบบไหลเวียนโลหิต

     7. แครนเบอร์รี่ – ช่วยป้องกันนิ่วในไต ต้านเชื้อไวรัส

     8. ผลไม้ตระกูลส้ม – ช่วยลดคอเลสเตอรอล และไขมันในเส้นเลือด

     9. ผลไม้กลุ่มแตง – มีสรรพคุณสูงสุดในการล้างพิษให้กับร่างกาย

    10. แอปเปิ้ล – ช่วยทำความสะอาดระบบย่อยอาหาร


                                                                                    ที่มา:  บทความจาก : MK restaurant
เขียนโดย poompeungsri ที่ 09:29 ไม่มีความคิดเห็น:
ส่งอีเมลข้อมูลนี้BlogThis!แชร์ไปยัง Xแชร์ไปที่ Facebookแชร์ใน Pinterest
บทความที่ใหม่กว่า หน้าแรก
สมัครสมาชิก: บทความ (Atom)

ค้นหาบล็อกนี้

  • Webboard:กระดานข่าวเเลกเปลี่ยนคาวมรู้เรื่องของความสวยงาม
  • ดาวโหลดไฟล์รูปภาพ

ท่านชอบทานผลไม้รสชาติเเบบใด

รายการบล็อกของฉัน

  • เส้นทางสายธุรกิจ
    2 ปีที่ผ่านมา
  • อินเทรนด์
    สิ่งของที่ห้ามนําขึ้นเครื่องบิน
    13 ปีที่ผ่านมา
  • ศูนย์รวมเคล็ดลับความสวย....*_*
    13 ปีที่ผ่านมา
  • เสี้ยวหนึ่งของอารมณ์ "รัก"
    คําบางคํา เพื่อกําลังใจ
    13 ปีที่ผ่านมา
  • บุญบารมี
    มงคล 38 ประการ
    13 ปีที่ผ่านมา
  • IT อินเทรนด์
    Notebook 2 หน้าจอ
    13 ปีที่ผ่านมา
  • ชมรมงูจงอางแห่งประเทศไทย
    งูจงอาง
    13 ปีที่ผ่านมา
  • อาหารเพื่อสุขภาพ
    13 ปีที่ผ่านมา
  • !!!!ท่องเที่ยวประเทศไทยไปกันเถอะน่ะ...... <<+_+>>.....!!!
    อยากพักผ่อน...เที่ยวน้ำตกที่ไหนดี
    13 ปีที่ผ่านมา
  • สถานที่ท่องเที่ยว
    ฟูลมูลปาตี้บนเกาะพงัน
    13 ปีที่ผ่านมา

ThaiRSSFeed - บังเทิง

กำลังโหลด...

ผู้เข้าชม..blogger

ผู้ติดตาม

คลังบทความของบล็อก

  • ▼  2011 (20)
    • ▼  กันยายน (17)
      • น้ำผลไม้ไม่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายจริงหรือไม่ ทั้ง...
      • 10 เคล็ดลับ การกินอาหารเพื่อสุขภาพ 1.กินอาหารเช้า ...
      • 12 วิธีสร้างสุขเล็ก ๆ เพื่อสุขภาพ 12 วิธีสร้างสุ...
      • ไม่มีชื่อ
      • สับปะรดเพื่อผิวสวย  เรื่องข้อศอกดำ หัวเข่าด้านนั้น...
      • 7 สูตรพอกหน้าจาก 7 ประเทศหากคุณเป็นผู้หนึ่งที่อยาก...
      • ดับร้อน แก้เครียด ด้วย "กล้วยหอม"
      • ทุเรียน กินอย่างไรไม่อ้วน เผยช่วยชำระล้างขยะในลำไส...
      • 10 สุดยอดอาหารดีท๊อกซ์
      • มีปัญหาผิวหน้า         หากมีปัญหาผิวหน้า เช่น มีร...
      • ประโยชน์และหน้าที่ของน้ำ
      • กินผลไม้ถูกเวลา...มากคุณค่า
      • การแต่งกายบอกนิสัยได้นะ...ลองมาดูกัน
      • ความแตกต่างของโฟมล้างหน้าแบบมีฟองและไม่มีฟอง
      • วิธีการเเต่งหน้าให้เค้ากับสีผิว
      • ใบหน้าใสกับกล้วยหอม
      • ขจัดกลิ่นกายใต้วงแขนเพื่อความมั่นใจ....
    • ►  กรกฎาคม (3)
      • ลดน้ำหนัก7วัน 9กิโล
      • หน้าขาวจากธรรมชาติ..
      • 10 สุดยอดผลไม้ที่กินแล้วไม่อ้วน

เกี่ยวกับฉัน

รูปภาพของฉัน
poompeungsri
I'am Nam a 20-year-old Studying at Mahasarakham University. Year 3 of the accounts were in financial management.
ดูโปรไฟล์ทั้งหมดของฉัน
หน้าต่างรูปภาพ ธีม. รูปภาพธีมโดย belknap. ขับเคลื่อนโดย Blogger.