Blogger..นี้สร้างขึ้นเพื่อให้ผู้ที่ต้องการข้อมูลต่างๆทั้งเเบบวิชาการเเละเรื่องความสวยงามได้มาสืบค้นเพื่อนำไปใช้ตามความต้องการต่างๆของตนเองได้ จากมหาวิทยาลัยมหาสารคาม



I'am Nam.Phiromya

วันพุธที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ลดน้ำหนัก7วัน 9กิโล

    สูตรนี้บางคนทำแล้วสามารถลดได้ถึง 9 กิโลกรัม
ใน 7 วันเลยนะคะ ลองเอาไปทำตามดู
แต่อย่างไรก็ตามก็ขึ้นอยู่กับภาวะร่างกายของคนเราด้วยนะคะ
ถ้าหากน้ำหนักมากๆ เกิน 80 กิโลกรัม
ขึ้นไป หากทำตามสูตรนี้ได้ เชื่อว่าน่าจะลดได้ 9 กิโลแน่ๆ ค่ะ ใจแข็งพอรึเปล่าคะ
                                             

วันที่ 1
มื้อเช้า : ชาหรือกาแฟไม่ใส่น้ำตาล
มื้อกลางวัน : ไข่ต้ม 2 ฟอง กับผักต้ม
มื้อเย็น : สเต็กกับสลัดผักน้ำใส และผลไม้

วันที่ 2
มื้อเช้า : ชาหรือกาแฟไม่ใส่น้ำตาลกับขนมปังโฮลวีต 1 แผ่น
มื้อกลางวัน : สเต็กหรือเนื้อหมู เนื้อวัวย่างก็ได้ กับสลัดผักเขียวและผลไม้
มื้อเย็น : แฮมแผ่นต้มปริมาณเท่าใดก็ได้

วันที่ 3
มื้อเช้า : ชาหรือกาแฟไม่ใส่น้ำตาลกับขนมปังโฮลวีต 2 แผ่น
มื้อกลางวัน : ไข่ต้ม 2 ฟอง และสลัดกับแครอท
มื้อเย็น : แฮมแผ่นต้มปริมาณเท่าใดก็ได้

วันที่ 4
มื้อเช้า : ชาหรือกาแฟไม่ใส่น้ำตาลกับขนมปังโฮลวีต 1 แผ่น
มื้อกลางวัน : ไข่ต้ม 1 ฟองกับแครอทต้ม
มื้อเย็น : ผลไม้และโยเกิร์ตรสธรรมชาติ

วันที่ 5
มื้อเช้า : ชาหรือกาแฟไม่ใส่น้ำตาล
มื้อกลางวัน : ปลาเผาหรือปลาย่างกับผักต้ม
มื้อเย็น : สเต็ก หรือเนื้อย่างไม่ติดมัน กับสลัดผักสดน้ำใส

วันที่ 6
มื้อเช้า : ชาหรือกาแฟไม่ใส่น้ำตาล
มื้อกลางวัน : ไก่ย่างไม่ติดหนัง
มื้อเย็น : ไข่ต้ม 2 ฟอง กับแครอทต้ม

วันที่ 7
มื้อเช้า : กาแฟหรือชาบีบมะนาว แต่ไม่ใส่น้ำตาล
มื้อกลางวัน : ผลไม้อะไรก็ได้ในปริมาณต้องการ
มื้อเย็น : อะไรก็ได้ทุกอย่างที่อยากทาน ไม่จำกัดปริมาณ





                                        ที่มา       www.ladytip.com

หน้าขาวจากธรรมชาติ..

                                   สูตรลับหน้าขาวใส


 มีเคล็บลับบำรุงผิวหน้ามาฝากกัน 2 สูตร ใครที่อยากจะมีผิวสวยใส ด้วยวิธีง่าย ๆ
ก็ลองนำไปทำดูได้นะคะ ส่วนผสมต่าง ๆ
มีดังนี้ค่ะ



                   สูตรที่ 1 สูตรลับหน้าขาว   
        
                             1.มะขามเปียก
                             2. นมสด
                             3. น้ำผึ้ง


วิธีทำ- ผสมน้ำมะขามเปียก นมสด และน้ำผึ้ง (ใส่นมสด และน้ำผึ้งแค่ครึ่งหนึ่งของน้ำมะขามเปียก) จากนั้นตั้งไฟอ่อนๆ คนให้เข้ากัน ทิ้งไว้ให้เย็น
วิธีเก็บรักษา - ใส่ในภาชนะที่มีฝาปิดแล้วแช่ในตู้เย็น สามารถ เก็บไว้ได้นานเท่าที่ต้องการเลยค่ะ
วิธีใช้ ล้างหน้าด้วยน้ำเปล่า เช็ดให้แห้ง แล้วทาครีมมะขามเปียกให้ทั่วใบหน้าและลำคอ ทิ้งไว้ประมาณ 20-30 นาที หรือนานเท่าใดก็ได้ ตามใจผู้ใช้ แล้วล้างออกตามปกติ
ข้อควรระวัง หลีกเลี่ยงการทาบริเวณดวงตา เพราะอาจจะทำให้ระคายเคืองได้
ข้อพึงกระทำ – ถ้าต้องการให้ได้ประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ควรทาครีมมะขามเปียกในขณะที่ครีมเย็น หรือเพื่งจะเอาครีมออกจากตู้เย็น เพราะความเย็นจะทำให้รูขุมขนเล็กลง ผิวหน้าก็จะเรียบขึ้นค่ะ
                   
                  สูตรที่ 2 สูตรหน้าขาวใสด้วยธรรมชาติ  
                1. แป้งดินสอพอง
                2. ขมิ้นหรือไพร
                3. มะขามเปียกหรือมะนาว


 
วิธีทำ- ละลายดินสอพองไม่ต้องแฉะมากให้พอข้น แล้วผสมไพรหรือขมิ้น และมะนาวหรือมะขามเปียก ผสมให้เป็นเนื้อเดียวกัน นำมาพอกหน้าทิ้งไว้ให้แห้งแล้วล้างออกด้วยน้ำเปล่า ใบหน้าของคุณก็จะขาวใสขึ้นค่ะ





ที่มาจาก www.ladyissue.com
ภาพประกอบจาก http://happyviruss.com


10 สุดยอดผลไม้ที่กินแล้วไม่อ้วน

ผลไม้
          ผลไม้ 10 ชนิดต่อไปนี้ จัดเป็นผลไม้ที่อุดมด้วยวิตามินและเกลือแร่ และ กินได้บ่อยๆ แบบไม่ต้องกลัวอ้วน ทั้งยังมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์และเพิ่มภูมิคุ้มกันอีกด้วย ผลไม้ทั้ง 10 ชนิดนี้มีปริมาณคาร์โบไฮเดรตเฉลี่ย 1.9 – 10 กรัมต่อน้ำหนัก 100 กรัม โดยอะโวกาโดมีคาร์โบไฮเดรตต่ำสุด
แอปเปิลมีคาร์โบไฮเดรตสูงสุด

     1. กีวี - มีสารแอกทินิดีน ที่ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันทำให้หัวใจแข็งแรง

     2. มะเขือเทศ - ช่วยลดความเสียงจากมะเร็งและโรคหัวใจ

     3. มะละกอ – ช่วยย่อยอาหารและโปรตีน

     4. อะโวกาโด –  ช่วยยับยั้งสารก่อมะเร็งชนิดต่างๆ ได้ถึง 30 ชนิด

     5. สับปะรด – ช่วยต้านเชื้อไวรัสและแบคทีเรีย

     6. ผลไม้จำพวกเบอร์รี่ – เช่น สตอเบอร์รี่ แบลคเบอร์รี่ ผลไม้กลุ่มนี้ดีต่อระบบไหลเวียนโลหิต

     7. แครนเบอร์รี่ – ช่วยป้องกันนิ่วในไต ต้านเชื้อไวรัส

     8. ผลไม้ตระกูลส้ม – ช่วยลดคอเลสเตอรอล และไขมันในเส้นเลือด

     9. ผลไม้กลุ่มแตง – มีสรรพคุณสูงสุดในการล้างพิษให้กับร่างกาย

    10. แอปเปิ้ล – ช่วยทำความสะอาดระบบย่อยอาหาร


                                                                                    ที่มา:  บทความจาก : MK restaurant